คุณเป็นหนึ่งในคนไทยกว่า 3 ล้านคนที่อาจกำลังจ่ายภาษีมากเกินความจำเป็นหรือไม่? จากการสำรวจล่าสุดพบว่า 68% ของผู้เสียภาษีในประเทศไทยไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เสียเงินไปโดยไม่จำเป็นหลายพันถึงหลายหมื่นบาทต่อปี

         การเรียนรู้วิธีคิดภาษีที่ถูกต้องไม่เพียงช่วยให้คุณปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้พื้นฐานการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเคล็ดลับการประหยัดภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมายในปี 2025

ทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

         ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไปที่มีรายได้ตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยเงินได้ที่ต้องนำมาคำนวณภาษีแบ่งเป็น 8 ประเภท ได้แก่:

1.เงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง)

2.เงินได้จากการรับทำงานให้ (ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า)

3.ค่าแห่งลิขสิทธิ์ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์

4.ดอกเบี้ย เงินปันผล

5.เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน

6.เงินได้จากวิชาชีพอิสระ

7.เงินได้จากการรับเหมา

8.เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์

         โครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2025 ยังคงเป็นแบบอัตราก้าวหน้า โดยอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นตามขั้นของเงินได้สุทธิ ดังนี้

เงินได้สุทธิ (บาท)

อัตราภาษี (%)

0 - 150,000

ได้รับยกเว้น

150,001 - 300,000

5

300,001 - 500,000

10

500,001 - 750,000

15

750,001 - 1,000,000

20

1,000,001 - 2,000,000

25

2,000,001 ขึ้นไป

35

         สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือความแตกต่างระหว่าง "เงินได้พึงประเมิน" กับ "เงินได้สุทธิ" เงินได้พึงประเมินคือรายได้ทั้งหมดที่คุณได้รับในปีภาษีนั้น ส่วนเงินได้สุทธิคือเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ แล้ว ซึ่งเงินได้สุทธินี้เองที่จะนำไปคำนวณภาษีตามอัตราข้างต้น

วิธีคิดภาษีอย่างเป็นขั้นตอน

  วิธีคิดภาษีที่ถูกต้องประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก

ขั้นตอนที่ 1: การรวบรวมเงินได้ทั้งหมด

         เริ่มจากรวบรวมเงินได้ทุกประเภทที่คุณได้รับในปีภาษีนั้น (1 มกราคม - 31 ธันวาคม) จากทุกแหล่ง ทั้งเงินเดือน โบนัส ค่าล่วงเวลา รายได้จากอาชีพเสริม ดอกเบี้ยเงินฝาก เงินปันผล ฯลฯ

ขั้นตอนที่ 2: การคำนวณค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

         หักค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสามารถเลือกหักได้ตามจริงหรือเหมา ขึ้นอยู่กับประเภทเงินได้ เช่น เงินเดือนหักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท จากนั้นหักค่าลดหย่อนต่างๆ เช่น

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนบุตร คนละ 30,000 บาท (บุตรคนที่ 2 ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป ลดหย่อนได้ 60,000 บาท ต่อคน)
  • เงินบริจาค (ตามเงื่อนไข)
  • เบี้ยประกันชีวิต (ไม่เกิน 100,000 บาท)
  • เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข. 
  • เงินลงทุนในกองทุน TESG, RMF (ตามเงื่อนไข)

ขั้นตอนที่ 3: การคำนวณเงินได้สุทธิ

         นำเงินได้พึงประเมินทั้งหมด ลบด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนทั้งหมด จะได้เป็นเงินได้สุทธิ

ขั้นตอนที่ 4: การคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันได

         นำเงินได้สุทธิที่คำนวณได้ มาคำนวณภาษีตามอัตราภาษีแบบขั้นบันได ตามตารางข้างต้น

ตัวอย่างการคำนวณภาษี

  สมมติว่านายสมชาย มีเงินเดือน 50,000 บาทต่อเดือน (600,000 บาทต่อปี) และได้รับโบนัส 2 เดือน (100,000 บาท) มีเงินได้พึงประเมินรวม 700,000 บาท

การคำนวณภาษี:

  • หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท = 100,000 บาท
  • หักค่าลดหย่อนส่วนตัว = 60,000 บาท
  • สมมติว่าสมชายจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 25,000 บาท = 25,000 บาท
  • ลงทุนในกองทุนTESG 30,000 บาท = 30,000 บาท
  • เงินได้สุทธิ = 700,000 - 100,000 - 60,000 - 25,000 - 30,000 = 485,000 บาท

การคำนวณภาษีตามขั้นบันได:

  • 150,000 บาทแรก = ได้รับยกเว้น 0 บาท
  • 150,001-300,000 บาท (150,000 บาท) = 5% = 7,500 บาท
  • 300,001-485,000 บาท (185,000 บาท) = 10% = 18,500 บาท
  • ภาษีที่ต้องจ่ายทั้งหมด = 7,500 + 18,500 = 26,000 บาท

ข้อผิดพลาดในการคิดภาษีที่พบบ่อย

การทำความเข้าใจวิธีคิดภาษีที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อยเหล่านี้:

1.การไม่ใช้สิทธิลดหย่อนอย่างครบถ้วน - หลายคนละเลยการใช้สิทธิลดหย่อนที่ตนเองมีสิทธิ์ เช่น ลืมนำใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลของบิดามารดามาลดหย่อน

2.การกรอกข้อมูลผิดพลาด - การคำนวณผิดพลาดหรือกรอกข้อมูลผิดในแบบแสดงรายการ อาจทำให้เสียภาษีมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ซึ่งกรณีหลังอาจมีบทลงโทษ

3.การเลือกวิธีการคำนวณที่ไม่เหมาะสม - บางคนเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงทั้งที่การหักค่าใช้จ่ายเหมาจะได้ประโยชน์มากกว่า

4.การไม่ยื่นแบบภายในกำหนด - การยื่นแบบล่าช้าอาจมีบทลงโทษและเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

5.การไม่เก็บหลักฐาน - การไม่เก็บหลักฐานเพื่อยืนยันค่าลดหย่อน อาจทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิได้เมื่อถูกตรวจสอบ

กลยุทธ์การวางแผนภาษีที่ชาญฉลาดสำหรับมือใหม่

การวางแผนภาษีอย่างชาญฉลาดด้วยวิธีคิดภาษีที่ถูกต้อง ช่วยให้คุณประหยัดเงินได้อย่างถูกกฎหมาย:

1.วางแผนลดหย่อนภาษีล่วงหน้า - อย่ารอจนถึงช่วงสิ้นปีเพื่อเร่งใช้สิทธิลดหย่อน ควรวางแผนตั้งแต่ต้นปีเพื่อกระจายค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม

2..ใช้ประโยชน์จากการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี - การลงทุนใน TESG, RMF, ประกันชีวิตแบบบำนาญ ไม่เพียงช่วยลดหย่อนภาษีแต่ยังเป็นการออมเพื่ออนาคต

3.พิจารณาเลือกระหว่างการหักค่าใช้จ่ายตามจริงหรือเหมา - บางกรณี การเก็บใบเสร็จและหักค่าใช้จ่ายตามจริงอาจได้ประโยชน์มากกว่าการหักค่าใช้จ่ายเหมา

4.พิจารณาการยื่นแบบร่วมหรือแยกกับคู่สมรส - ทำการคำนวณทั้งสองแบบเพื่อดูว่าวิธีไหนเสียภาษีน้อยกว่า

5.ติดตามการเปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษี - กฎหมายภาษีมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี การอัพเดทความรู้จะช่วยให้วางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

       การเรียนรู้วิธีคิดภาษีที่ถูกต้องเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้คุณบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะดูซับซ้อนในตอนแรก แต่เมื่อเข้าใจหลักการพื้นฐาน คุณจะสามารถประหยัดเงินได้อย่างถูกกฎหมายผ่านการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่

         การวางแผนภาษีควรเริ่มต้นตั้งแต่ต้นปีภาษี ไม่ใช่รอจนถึงช่วงยื่นภาษี เพื่อให้มีเวลาวางแผนการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ อย่างเหมาะสม และจัดเก็บเอกสารที่จำเป็นไว้อย่างครบถ้วน

         ลงทุนเวลาเรียนรู้เรื่องภาษีวันนี้ เพื่อประหยัดเงินของคุณในระยะยาว!

 09 - ปรึกษาผู้แนะนำ.jpg