หากคุณเพิ่งเริ่มทำงานและสงสัยว่า "เงินเดือนเท่าไรถึงต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดา?" บทความนี้จะช่วยอธิบายเกณฑ์เงินเดือนที่ต้องเสียภาษี วิธีคำนวณภาษีบุคคลธรรมดาอย่างง่าย และ 4 ขั้นตอนวางแผนภาษีที่จะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้อย่างถูกกฎหมาย

เงินเดือนเท่าไรต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดา?

  ตามกฎหมายไทย คุณต้องเสียภาษีเมื่อมีเงินได้สุทธิ (หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) เกิน 150,000 บาทต่อปี โดยรายได้ที่ต้องนำมาคำนวณรวมถึง เงินเดือน โบนัส รายได้จากงานอิสระ (ฟรีแลนซ์) รายได้จากการลงทุน และรายได้อื่น ๆ

วิธีคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา

  • นำเงินได้ทั้งปีมาหักค่าใช้จ่าย
  • เงินเดือน: หักได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  • รายได้จากฟรีแลนซ์: หักได้ตามอัตราที่กำหนด หรือหักตามค่าใช้จ่ายจริง
  • นำเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายมาหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ประกันสังคม ประกันชีวิต ฯลฯ
  • คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิตามอัตราภาษีบุคคลธรรมดา

อัตราภาษีบุคคลธรรมดา (ปี 2567)

  • 0 - 150,000 บาท: ยกเว้นภาษี (0%)
  • 150,001 - 300,000 บาท: 5%
  • 300,001 - 500,000 บาท: 10%
  • 500,001 - 750,000 บาท: 15%
  • 750,001 - 1,000,000 บาท: 20%
  • 1,000,001 - 2,000,000 บาท: 25%
  • 2,000,001 - 5,000,000 บาท: 30%
  • 5,000,001 บาทขึ้นไป: 35%

ตัวอย่างการคำนวณภาษี

  • เงินเดือน 40,000 บาท/เดือน
  • รายได้ทั้งปี: 480,000 บาท
  • หักค่าใช้จ่าย (50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท): 100,000 บาท
  • หักค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
  • หักประกันสังคม: 9,000 บาท
  • เงินได้สุทธิ: 311,000 บาท

การคำนวณภาษี:

  • 150,000 บาทแรก: ยกเว้นภาษี
  • 149,999 บาทถัดไป (150,001 - 300,000 บาท): เสียภาษี 5% = 7,500 บาท
  • 11,00 บาทถัดไป (300,001 - 311,000 บาท): เสียภาษี 10% = 1,100 บาท
  • รวมภาษีที่ต้องจ่าย: 8,600 บาท

  โดยทั่วไป คนที่มีเงินเดือนประมาณ 27,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป (หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนพื้นฐาน) จะเริ่มต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดา

4 ขั้นตอนวางแผนภาษีบุคคลธรรมดาสำหรับคนเริ่มทำงาน

1. รู้จักค่าลดหย่อนพื้นฐาน

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท (ทุกคนได้รับอัตโนมัติ)
  • ประกันสังคม: ลดหย่อนได้สูงสุด 9,000 บาทต่อปี
  • ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง
  • ค่าประกันชีวิต: ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
  • ค่าประกันสุขภาพ: ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท (รวมกับประกันชีวิตแล้วไม่เกิน 100,000 บาท)
  • ดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน: ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปี

2. เลือกลงทุนในกองทุนที่ช่วยลดหย่อนภาษี

2.1.กองทุน Thai ESG

  • ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท
  • ต้องถือหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 5 ปี

2.2 กองทุน RMF (Retirement Mutual Fund)

  • ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท (เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ)
  • ต้องลงทุนต่อเนื่องปีละครั้งและถือจนอายุ 55 ปี (ลงทุนแล้ว 5 ปีขึ้นไป)

2.3 กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ

  • ลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท (รวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆแล้วไม่เกิน 500,000บาท)
  • ข้อควรระวัง: หากไถ่ถอนก่อนกำหนด อาจต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีพร้อมค่าปรับ

3. วางแผนการใช้จ่ายให้ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี

  • โครงการช้อปดีมีคืน: สามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้ (ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐแต่ละปี)
  • บริจาคเพื่อการกุศล: บางกรณีสามารถลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนที่บริจาค

 

4. เตรียมพร้อมสำหรับการยื่นภาษี

  • ยื่นภาษีประจำปีได้ตั้งแต่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม ของปีถัดไป
  • ยื่นผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร (www.rd.go.th) จะได้รับเงินคืนเร็วกว่า
  • เตรียมเอกสารสำคัญ เช่น ใบรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และหลักฐานการลดหย่อนต่าง ๆ
  • ทดลองคำนวณภาษีล่วงหน้าเพื่อประเมินว่าต้องจ่ายเพิ่มหรือได้รับคืน

ประโยชน์ของการวางแผนภาษีบุคคลธรรมดา

  • ประหยัดเงินค่าภาษี ได้ตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มทำงาน
  • สร้างนิสัยการออมและการลงทุนระยะยาว ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี
  • สร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ที่เติบโต
  • มีความรู้ทางการเงินที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้คุณบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างเปรียบเทียบผลประโยชน์:

  • คนที่ไม่วางแผนภาษี อาจเสียภาษี 8,600 บาทต่อปี
  • คนที่ลงทุนใน RMF เดือนละ 3,000 บาท อาจเสียภาษีเพียง 6,800 บาท และมีเงินออมเพิ่มขึ้น              

  การวางแผนภาษีบุคคลธรรมดาอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความเข้าใจพื้นฐานและการวางแผนล่วงหน้า ผมขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นสำรวจค่าลดหย่อนที่คุณมีสิทธิได้รับตั้งแต่วันนี้ และเริ่มวางแผนการเงินและภาษีบุคคลธรรมดาของคุณเพื่ออนาคตที่มั่นคง

 09 - ปรึกษาผู้แนะนำ.jpg