ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่ารวมกว่า 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ SET Index ของไทยปัจจุบัน มีขนาดตลาดราว 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำระดับโลก การลงทุนในตลาดนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน แต่ก่อนเริ่มลงทุน นี่คือ 5 คำถามสำคัญ ที่คุณควรรู้

คำถามที่ 1: ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกามีกี่แห่ง และแต่ละแห่งต่างกันอย่างไร?

  ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา มี 2 แห่งที่นักลงทุนควรรู้

1.NYSE (New York Stock Exchange):

  • เป็นตลาดที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐฯ
  • มีบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง เช่น Coca-Cola, Johnson & Johnson
  • มีการซื้อขายแบบ Traditional Floor Trading และระบบอิเล็กทรอนิกส์

2.NASDAQ:

  • เป็นตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาที่เน้นบริษัทเทคโนโลยี เช่น Apple, Microsoft, Amazon
  • มีการซื้อขายแบบ Electronic Trading ทั้งหมด
  • โดดเด่นเรื่องความทันสมัยและความเร็วในการดำเนินการ

เวลาทำการของทั้งสองตลาด:

  • 09:30-16:00 น. (เวลานิวยอร์ก)
  • 21:30-04:00 น. (เวลาไทย)

คำถามที่ 2: เริ่มต้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ต้องใช้เงินเท่าไร?

   คุณสามารถเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมีบริการ Fractional Shares ที่ช่วยให้ซื้อหุ้นเป็นเศษส่วนได้

ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง:

1.ค่านายหน้า (Commission):

  • ค่าธรรมเนียมต่อหุ้น
  • ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ

2.ค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างประเทศ:

  • ขึ้นอยู่กับธนาคารหรือช่องทางการโอน

3.ภาษีหัก ณ ที่จ่าย:

  • ภาษีหัก ณ.ที่จ่ายจากเงินปันผล (Dividend Tax) อยู่ที่ 15%-30% ขึ้นอยู่กับประเภทของหุ้นและข้อตกลงระหว่างประเทศ

คำแนะนำ:

  แม้จะสามารถเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อยได้ แต่เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพและสามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี ควรมีการวางแผนการลงทุนและจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุนของคุณ

คำถามที่ 3: มีวิธีบริหารความเสี่ยงในการลงทุนอย่างไร?

1. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน:

  • ใช้บริการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedging) หากมูลค่าการลงทุนสูง
  • ทยอยลงทุนในช่วงเวลาแตกต่างกันเพื่อลดความเสี่ยงและถัวเฉลี่ยต้นทุน

2. ความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้น:

  • กระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี การแพทย์ พลังงาน
  • กำหนดจุด Stop Loss เพื่อจำกัดการขาดทุน

3. การติดตามข้อมูล:

  • ติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่ลงทุน

คำถามที่ 4: จะเลือกหุ้นอเมริกาอย่างไรให้เหมาะกับพอร์ตการลงทุน?

1. เลือกจากปัจจัยพื้นฐาน:

  • ผลประกอบการ (Earnings): บริษัทควรมีกำไรต่อเนื่อง
  • ส่วนแบ่งตลาด (Market Share): บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน
  • คุณภาพของผู้บริหาร: ดูประวัติและการบริหารงานในอดีต

2. อุตสาหกรรมที่น่าสนใจ:

  • เทคโนโลยี: Apple, Microsoft, Google
  • Healthcare: Johnson & Johnson, Pfizer
  • Consumer Staples: Coca-Cola, Procter & Gamble

 คำแนะนำสำหรับมือใหม่:

  เริ่มจากหุ้นบริษัทที่มีพื้นฐานดีและเป็นที่รู้จักในชีวิตประจำวัน เช่น Apple หรือ Microsoft 

คำถามที่ 5: มีทางเลือกในการลงทุนอื่นๆ นอกจากการซื้อหุ้นโดยตรงหรือไม่?

 หากไม่ต้องการซื้อหุ้นโดยตรง คุณสามารถเลือกลงทุนในตัวเลือกอื่น เช่น

1.ETF (Exchange-Traded Fund):

  • ลงทุนในกองทุนที่ติดตามดัชนี เช่น
    • SPY: ติดตามดัชนี S&P 500
    • QQQ: ติดตามดัชนี NASDAQ-100
  • ค่าธรรมเนียมต่ำและกระจายความเสี่ยงได้ดี

2.กองทุนรวม FIF:

  • เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามการลงทุน
  • มีผู้จัดการกองทุนดูแลการลงทุนให้

3.DR (Depositary Receipt):

  • ลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทย เช่น DR ของหุ้น Tesla หรือ Apple
  • สะดวก ไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศ

สรุป: ก้าวแรกสู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

  การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนระยะยาว

ก้าวแรกที่ควรทำ:

    1.   เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ

    2.   ศึกษาหุ้นหรือ ETF ที่สนใจ

    3.   เริ่มต้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาด้วยเงินที่เหมาะสมกับแผนการลงทุน

สิ่งสำคัญ:

  ศึกษาและติดตามข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การลงทุนของคุณมีประสิทธิภาพและมั่นคงในระยะยาว!

Open Account.webp