ในปัจจุบัน โลกแห่งการลงทุนที่เต็มไปด้วยโอกาสและความเสี่ยง การลงทุนกลายเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ให้ความสนใจ ซึ่งการลงทุนแต่ละประเภทก็มักแฝงไปด้วยความเสี่ยง นักลงทุนจึงต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนการตัดสินใจเริ่มต้นลงทุน ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่น่าสนใจคือ DW หรือ Derivative Warrant
DW คืออะไร?
DW ย่อมาจาก Derivative Warrants หรือ “ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” เป็นตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่งที่เสนอขายโดยผู้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (Issuer) เพื่อมอบสิทธิแก่ผู้ซื้อ (Holder) ในการซื้อหรือขาย หลักทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset)
จุดเด่นของ DW
1. เริ่มต้นลงทุนได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่: DW ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิง โดยใช้เงินเพียงส่วนหนึ่งของมูลค่าจริง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีเงินทุนจำกัด
2. โอกาสทำกำไรมหาศาล: DW มีกลไก "อัตราทด" (Gearing) ที่ช่วยขยายผลตอบแทนจากการลงทุน ทำให้นักลงทุนมีโอกาสสร้างผลกำไรได้มากขึ้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไร
3. เครื่องมือที่ครบครัน ทั้งเก็งกำไรและป้องกันความเสี่ยง: Call DW เหมาะสำหรับเก็งกำไรขาขึ้น Put DW เหมาะสำหรับเก็งกำไรขาลง นอกจากนี้ DW ยังสามารถใช้ป้องกันความเสี่ยงจากพอร์ตการลงทุนได้อีกด้วย
4. ซื้อขายสะดวก รวดเร็ว: DW ซื้อขายบนกระดานหุ้นเหมือนหุ้นทั่วไป นักลงทุนสามารถซื้อขาย DW ได้ตลอดเวลาทำการ
5. สภาพคล่องสูง มั่นใจทุกการซื้อขาย: มีผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ทำหน้าที่ซื้อขาย DW อยู่เสมอ นักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าสามารถซื้อขาย DW ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพคล่อง
ประเภทของ DW
สำหรับเครื่องมือทางการเงินอย่าง DW จะสามารถแบ่งประเภทหลัก ๆ ออกมาได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. Call DW: ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการซื้อหลักทรัพย์อ้างอิง แต่ไม่ใช่ภาระผูกพัน ผู้ซื้อสามารถเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิ์ก็ได้ โดยจะมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- ต้องจ่ายค่าพรีเมียม: ผู้ซื้อต้องจ่ายค่าพรีเมียม (premium) ให้กับผู้ขาย
- มีวันหมดอายุ: ผู้ซื้อมีสิทธิ์ใช้สิทธิ์ได้ภายในวันที่กำหนด (expiration date)
- มีราคาใช้สิทธิ์: ผู้ซื้อสามารถซื้อหลักทรัพย์อ้างอิงได้ที่ราคาที่กำหนด (strike price)
2.Put DW: ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการขายหลักทรัพย์อ้างอิงแต่ไม่ใช่ภาระผูกพัน ผู้ซื้อสามารถเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิ์ก็ได้ โดยจะมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- ต้องจ่ายค่าพรีเมียม: ผู้ซื้อต้องจ่ายค่าพรีเมียม (premium) ให้กับผู้ขาย
- มีวันหมดอายุ: ผู้ซื้อมีสิทธิ์ใช้สิทธิ์ได้ภายในวันที่กำหนด (expiration date)
- มีราคาใช้สิทธิ์: ผู้ซื้อสามารถขายหลักทรัพย์อ้างอิงได้ที่ราคาที่กำหนด (strike price)
ตัวอย่าง
- นักลงทุนคาดการณ์ว่าราคาหุ้น A จะขึ้น: นักลงทุนสามารถซื้อ Call DW ของหุ้น A
- นักลงทุนคาดการณ์ว่าราคาหุ้น B จะลง: นักลงทุนสามารถซื้อ Put DW ของหุ้น B
สินค้าอ้างอิงของ DW
DW มีสินค้าอ้างอิงหลากหลายประเภท ดังนี้
- หุ้นไทย: จำกัดเฉพาะหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET100
- ดัชนีหุ้นไทย: เช่น SET Index, SET50 Index, SET100 Index, SETHD Index และดัชนีราคากลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจ
- ดัชนีหุ้นต่างประเทศ: เช่น Hang Seng Index (HSI), S&P 500 Index (SPX) และดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ของสหรัฐฯ
สัญลักษณ์ที่ใช้ซื้อขาย DW
ในการซื้อหรือขาย DW แต่ละครั้ง นักลงทุนจะพบกับตัวเลขรหัสบนกระดานซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งอาจสร้างความสับสนในตอนแรก แต่รู้หรือไม่ว่ารหัสเหล่านี้มีความสำคัญต่อการซื้อขาย DW มาก เพราะนอกจากจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออก DW แล้ว ยังบอกถึงเดือนสุดท้ายที่ DW นั้นจะมีอายุเหลืออยู่ด้วย
องค์ประกอบของสัญลักษณ์ DW
หากอ้างอิงตามรูปแล้ว สัญลักษณ์หรือชื่อย่อของ DW ประกอบด้วย 5 ส่วนหลักๆ ดังนี้
1.ตัวย่อที่ใช้แทนหุ้นหรือดัชนี ที่ DW นั้นใช้อ้างอิง
2.หมายเลขของโบรกเกอร์ผู้ออก DW นั้นๆ
3.ประเภทของ DW:
- C หมายถึง Call DW
- P หมายถึง Put DW
4.ปีและเดือนที่ DW นั้นจะหมดอายุ
5.รุ่นของ DW นั้น เรียงตามตัวอักษร A-Z
ความสำคัญของการสังเกตรหัส DW
- เดือนสุดท้ายของ DW: การซื้อขาย DW ในเดือนสุดท้ายมีความเสี่ยงและอาจเกิดความเสียหายตามมา
- รุ่นของ DW: แต่ละรุ่นของ DW ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่แตกต่างกัน นักลงทุนควรเลือก DW รุ่นที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการลงทุน
DW กับ Warrant ต่างกันอย่างไร
DW และ Warrant ต่างเป็นเครื่องมือลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงและใช้เงินลงทุนต่ำแต่มีความแตกต่างกันดังนี้
หัวข้อ | DW | Warrant |
ผู้ออก | บริษัทหลักทรัพย์ | บริษัทจดทะเบียน |
ประเภทของสิทธิ | Call DW และ Put DW | Call Warrant |
สินค้าอ้างอิง | หุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทย และดัชนีหุ้นต่างประเทศ | หุ้นไทย |
สัญลักษณ์ที่ใช้ซื้อขาย | 12 ตัวอักษร | 4-8 ตัวอักษร |
การส่งมอบสินค้าอ้างอิง | เงินสดส่วนต่าง | เงินสดและหุ้น |
ผู้ดูแลสภาพคล่อง | มี | ไม่มี |
ปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคา DW
เนื่องจาก DW ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนทางการเงิน จึงควรคำนึงถึงปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคาดังต่อไปนี้ คือ
1. ราคาสินค้าอ้างอิง หมายถึง หุ้น ดัชนีหุ้น หรือสินทรัพย์อื่นๆ ที่ DW อ้างอิงราคา
- Call DW: ราคาจะ เพิ่มขึ้น เมื่อราคาสินค้าอ้างอิง เพิ่มขึ้น
- Put DW: ราคาจะ เพิ่มขึ้น เมื่อราคาสินค้าอ้างอิง ลดลง
2. ระยะเวลาคงเหลือ หมายถึง ระยะเวลาที่นักลงทุนสามารถใช้สิทธิ DW
- DW ที่มีอายุสั้น: ราคาจะ มีความผันผวน มากกว่า DW ที่มีอายุยาว
- DW ที่ใกล้หมดอายุ: มีโอกาสที่ราคาจะ ลดลง อย่างรวดเร็ว
3. อัตราทด คือ อัตราส่วนระหว่างการเปลี่ยนแปลงราคา DW กับการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้นอ้างอิง
- อัตราทดสูง: DW จะ มีความผันผวน มากกว่า DW ที่มีอัตราทดต่ำ
- อัตราทดต่ำ: DW จะ มีความเสี่ยง น้อยกว่า แต่ ผลตอบแทน ก็น้อยลง
4. ความผันผวนของราคาสินค้าอ้างอิง:
- ความผันผวนสูง: DW จะ มีความผันผวน มากขึ้น
- ความผันผวนต่ำ: DW จะ มีความผันผวน น้อยลง
5. อัตราดอกเบี้ย:
- อัตราดอกเบี้ยสูง: ราคา Call DW จะ เพิ่มขึ้น ราคา Put DW จะ ลดลง
- อัตราดอกเบี้ยต่ำ: ราคา Call DW จะ ลดลง ราคา Put DW จะ เพิ่มขึ้น
6. ปัจจัยอื่นๆ:
- สภาพคล่อง: DW ที่มี สภาพคล่อง สูง จะมีราคา ใกล้เคียง กับราคาที่คำนวณจากสูตร Black-Scholes
- ความคาดหวังของนักลงทุน: ความคาดหวัง ของนักลงทุนต่อราคาสินค้าอ้างอิงในอนาคต
เปิดพอร์ตเพื่อลงทุนใน DW ที่ไหนดี
การลงทุนใน DW นั้นมีขั้นตอนการสมัครและเอกสารที่ต้องกรอก ทาง บล.หยวนต้า จึงมีแพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยทำให้กระบวนการดังกล่าวเป็นไปได้อย่างง่ายดายและตอบโจทย์กับผู้ลงทุนที่สนใจ จึงทำให้ผู้ลงทุนสามารถจัดการพอร์ตการลงทุนของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดย บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด จะเป็นตัวแทนซื้อขาย DW เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนทุกท่าน นอกจากนี้ยังช่วยลูกค้าจัดพอร์ตการลงทุนได้อย่างสะดวกและเหมาะสม ตามวัตถุประสงค์ของการลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวัง ข้อจำกัดการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ ด้วยคำแนะนำการลงทุนของผู้แนะนำการลงทุนมืออาชีพและมีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนในตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีความซับซ้อนหรือผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนมากกว่าปกติก็ตาม